🎵-เจาะลึกความหมาย! แปลเพลง "Priceless" ของ Maroon 5 (feat. LISA) พร้อมวิเคราะห์ทุกท่อน

(Verse 1 - Adam Levine)

Sunrise through the window pane, a brand new day begins

Coffee brewing, softest rain, where do I begin?

Thought I had it all, the cars, the fame, the endless nights

But something's missing, calling out, in all these city lights

(Pre-Chorus - Adam Levine)

Then you walked into my life, like a melody I'd never heard

Suddenly the colors bright, unspoken, every single word

(Chorus - Adam Levine & LISA)

And now I know, what truly matters, more than gold, more than stars

You're my priceless treasure, healing all my scars

Yeah, you're priceless, truly, completely, infinitely true

And I wouldn't trade a single moment, for anything but you

(Verse 2 - LISA)

Lost in thought, on crowded streets, a million faces pass

Searching for a kindred spirit, something built to last

Felt like wandering in the dark, a lonely satellite

Till your light shone, a guiding spark, in this endless night

(Pre-Chorus - LISA)

Then you walked into my life, like a melody I'd never heard

Suddenly the colors bright, unspoken, every single word

(Chorus - Adam Levine & LISA)

And now I know, what truly matters, more than gold, more than stars

You're my priceless treasure, healing all my scars

Yeah, you're priceless, truly, completely, infinitely true

And I wouldn't trade a single moment, for anything but you

(Bridge - Adam Levine & LISA)

We've chased the fleeting dreams, the glitter and the gold

But true connection, pure and deep, is a story to unfold

Every breath, every beat, every whispered word you say

It adds up to forever, taking all my fears away

(Chorus - Adam Levine & LISA)

And now I know, what truly matters, more than gold, more than stars

You're my priceless treasure, healing all my scars

Yeah, you're priceless, truly, completely, infinitely true

And I wouldn't trade a single moment, for anything but you

(Outro - Adam Levine & LISA)

Priceless, yeah, you're priceless

More than anything, you're priceless

You're priceless...

---

ทำความรู้จัก "Priceless" เพลงที่บอกเล่า "คุณค่าที่ประเมินไม่ได้"

ก่อนที่เราจะไปแปลกันท่อนต่อท่อน เรามาทำความเข้าใจภาพรวมของเพลง "Priceless" กันก่อนดีกว่าครับ เพลงนี้สื่อถึงความรู้สึกของการค้นพบบางสิ่งบางอย่าง หรือใครบางคนที่มีคุณค่าล้ำค่าจนไม่สามารถประเมินเป็นราคาได้ (Priceless) มันเป็นความรู้สึกที่อยู่เหนือวัตถุสิ่งของใดๆ และมุ่งเน้นไปที่คุณค่าทางจิตใจ ความรัก ความผูกพัน หรือช่วงเวลาที่มีร่วมกันที่ไม่อาจหาอะไรมาเทียบได้

Maroon 5 และ LISA ถ่ายทอดความรู้สึกนี้ออกมาได้อย่างงดงาม ทำให้ผู้ฟังรู้สึกซาบซึ้งและตระหนักถึงสิ่งที่มีค่าที่แท้จริงในชีวิต

ถอดรหัสความหมาย: แปลเพลง "Priceless" พร้อมวิเคราะห์ทุกท่อน

เราจะมาดูกันทีละท่อนเลยนะครับว่าเพลง "Priceless" กำลังสื่อถึงอะไร และมีอะไรให้เราเรียนรู้ทางภาษาบ้าง:

[Verse 1 - Adam Levine (Maroon 5)]

(Verse 1) Sunrise through the window pane, a brand new day begins Coffee brewing, softest rain, where do I begin? Thought I had it all, the cars, the fame, the endless nights But something's missing, calling out, in all these city lights

• "Sunrise through the window pane, a brand new day begins":
  • "Window pane" (n.): บานกระจกหน้าต่าง
  • "A brand new day begins": วันใหม่เริ่มต้นขึ้น (เป็นการเปรียบเปรยถึงการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ หรือมุมมองใหม่ๆ)
  • การใช้งาน: เรามักใช้ "a brand new day" ในความหมายเชิงบวกว่าทุกวันคือการเริ่มต้นใหม่ เช่น "Don't dwell on yesterday's mistakes, it's a brand new day." (อย่าจมปลักอยู่กับความผิดพลาดเมื่อวาน นี่คือวันใหม่)
• "Coffee brewing, softest rain, where do I begin?":
  • "Brewing" (v.): กำลังชง (กาแฟ) ใช้กับเครื่องดื่มที่ต้องใช้การแช่หรือต้ม
  • "Softest rain": ฝนที่ตกปรอยๆ หรือเบาๆ
  • "Where do I begin?": ฉันควรเริ่มต้นตรงไหนดี? (แสดงถึงความรู้สึกท่วมท้น หรือไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นอธิบายจากตรงไหนดี)
• "Thought I had it all, the cars, the fame, the endless nights":
  • "Had it all": มีทุกสิ่งทุกอย่าง (บ่งบอกถึงความสมบูรณ์พูนสุขทางวัตถุ)
  • "Fame" (n.): ชื่อเสียง
  • "Endless nights": ค่ำคืนที่ไม่มีที่สิ้นสุด (อาจหมายถึงการปาร์ตี้ หรือการทำงานหนัก)
• "But something's missing, calling out, in all these city lights":
  • "Something's missing": บางสิ่งบางอย่างขาดหายไป
  • "Calling out": เรียกหา, เรียกร้อง
  • "City lights": แสงไฟในเมือง (เป็นสัญลักษณ์ของความวุ่นวาย ความตื่นตาตื่นใจ แต่ก็อาจจะหมายถึงความเหงา ความว่างเปล่าที่ซ่อนอยู่ได้เช่นกัน)

สรุป Verse 1: ท่อนนี้เล่าถึงการเริ่มต้นวันใหม่ท่ามกลางบรรยากาศที่ดูเหมือนจะสงบสุข แต่กลับมีความรู้สึกบางอย่างที่ขาดหายไป ทั้งๆ ที่เขามีทุกอย่างที่สังคมบอกว่าคือความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นรถหรู ชื่อเสียง หรือชีวิตที่ดูจะตื่นเต้น แต่ในใจกลับรู้สึกว่างเปล่าและโหยหาบางสิ่งบางอย่าง

[Pre-Chorus - Adam Levine]

(Pre-Chorus) Then you walked into my life, like a melody I'd never heard Suddenly the colors bright, unspoken, every single word

• "Then you walked into my life, like a melody I'd never heard":
  • "Walked into my life": เข้ามาในชีวิตของฉัน
  • "Like a melody I'd never heard": เหมือนกับทำนองเพลงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน (เปรียบเทียบถึงความรู้สึกแปลกใหม่ สดชื่น และน่าหลงใหล)
  • Grammar Tip (Simile - การเปรียบเทียบ): การใช้ "like" เพื่อเปรียบเทียบสิ่งสองสิ่งที่ไม่เหมือนกันโดยตรง เช่น "She sings like an angel." (เธอร้องเพลงเหมือนนางฟ้า)
• "Suddenly the colors bright, unspoken, every single word":
  • "Suddenly the colors bright": ทันใดนั้นโลกก็ดูมีสีสันสดใสขึ้นมา
  • "Unspoken, every single word": ทุกคำพูดที่ไม่ต้องเอ่ยออกมา (สื่อถึงความเข้าใจกันโดยไม่ต้องใช้คำพูด)

สรุป Pre-Chorus: ท่อนนี้บรรยายถึงช่วงเวลาที่บุคคลอันเป็นที่รักได้ก้าวเข้ามาในชีวิตของเขา เปลี่ยนโลกที่เคยจืดชืดให้มีสีสัน และเข้าใจกันได้แม้ไม่ต้องพูดอะไร

[Chorus - Adam Levine & LISA]

(Chorus) And now I know, what truly matters, more than gold, more than stars You're my priceless treasure, healing all my scars Yeah, you're priceless, truly, completely, infinitely true And I wouldn't trade a single moment, for anything but you

• "And now I know, what truly matters, more than gold, more than stars":
  • "What truly matters": อะไรคือสิ่งที่สำคัญอย่างแท้จริง
  • "More than gold, more than stars": มากกว่าทองคำ มากกว่าดวงดาว (เปรียบเทียบถึงคุณค่าที่เหนือกว่าวัตถุมีค่าและสิ่งที่ยิ่งใหญ่บนท้องฟ้า)
• "You're my priceless treasure, healing all my scars":
  • "Priceless" (adj.): ล้ำค่า ประเมินค่าไม่ได้ ไม่มีราคา (เพราะมีค่ามากเกินกว่าที่จะตีราคาได้)
  • "Treasure" (n.): สมบัติล้ำค่า
  • "Healing all my scars": เยียวยาบาดแผลทั้งหมดของฉัน (scars อาจหมายถึงบาดแผลทางใจ ประสบการณ์ที่ไม่ดี หรือความเจ็บปวดในอดีต)
  • การใช้งาน: เราใช้ "priceless" เมื่อพูดถึงสิ่งที่มีคุณค่าทางใจสูงมากๆ เช่น "The memories of our trip are priceless." (ความทรงจำจากการเดินทางของเราล้ำค่าประเมินไม่ได้)
• "Yeah, you're priceless, truly, completely, infinitely true":
  • "Truly, completely, infinitely": อย่างแท้จริง, อย่างสมบูรณ์, อย่างไม่สิ้นสุด (เป็นการย้ำความรู้สึกว่าสิ่งนี้มีค่ามากจริงๆ)
• "And I wouldn't trade a single moment, for anything but you":
  • "Wouldn't trade (something) for anything": จะไม่แลกเปลี่ยน (บางสิ่ง) กับสิ่งใดๆ เลย (แสดงว่าสิ่งนั้นมีคุณค่ามากจนไม่สามารถหาอะไรมาแลกได้)
  • "For anything but you": เพื่อสิ่งอื่นใดนอกจากคุณ (นั่นคือ เธอมีค่าเหนือทุกสิ่ง)
  • Grammar Tip (Conditional Sentence Type 3 - ในรูปแบบการปฏิเสธ): แม้จะไม่ได้อยู่ในรูป If-clause เต็มๆ แต่ "I wouldn't trade a single moment" สื่อความหมายในเชิงสมมติถึงการกระทำที่ไม่มีทางเกิดขึ้น เพราะสิ่งที่เป็นอยู่มีคุณค่าสูงสุด

สรุป Chorus: ท่อนฮุคคือใจความหลักของเพลง เขาได้ค้นพบแล้วว่าสิ่งที่มีค่าที่แท้จริงในชีวิตไม่ใช่สิ่งของภายนอก แต่เป็นคนรักที่เข้ามาเติมเต็มและเยียวยาบาดแผลในใจของเขา คนรักคนนี้มีค่ามากเกินกว่าจะตีราคาได้ และเขาจะไม่ยอมแลกช่วงเวลาใดๆ ที่มีร่วมกันกับสิ่งอื่นใดในโลกนี้

[Verse 2 - LISA]

(Verse 2) Lost in thought, on crowded streets, a million faces pass Searching for a kindred spirit, something built to last Felt like wandering in the dark, a lonely satellite Till your light shone, a guiding spark, in this endless night

• "Lost in thought, on crowded streets, a million faces pass":
  • "Lost in thought": เหม่อลอย, จมอยู่ในห้วงความคิด
  • "Crowded streets": ถนนที่เต็มไปด้วยผู้คน
  • "A million faces pass": ผู้คนนับล้านเดินผ่านไปมา (สื่อถึงความรู้สึกโดดเดี่ยวท่ามกลางผู้คนมากมาย)
• "Searching for a kindred spirit, something built to last":
  • "Kindred spirit" (n.): คนที่มีจิตใจคล้ายกัน, คนที่เข้าอกเข้าใจกันอย่างลึกซึ้ง
  • "Something built to last": บางสิ่งบางอย่างที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้คงอยู่ตลอดไป (ความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน)
• "Felt like wandering in the dark, a lonely satellite":
  • "Wandering in the dark": เดินทางอย่างเคว้งคว้างในความมืด
  • "Lonely satellite": ดาวเทียมที่โดดเดี่ยว (เปรียบเทียบว่าตัวเองโคจรอยู่เพียงลำพังในอวกาศอันกว้างใหญ่)
  • Grammar Tip (Simile - การเปรียบเทียบ): การใช้ "like" หรือ "as" เพื่อเปรียบเทียบ
• "Till your light shone, a guiding spark, in this endless night":
  • "Till your light shone": จนกระทั่งแสงของคุณส่องประกาย
  • "A guiding spark": ประกายไฟที่นำทาง
  • "Endless night": ค่ำคืนที่ไม่มีที่สิ้นสุด (เปรียบเทียบชีวิตที่เคยโดดเดี่ยวและไร้จุดหมาย)

สรุป Verse 2: ท่อนนี้ลิซ่าเล่าถึงความรู้สึกที่คล้ายกันกับอดัม คือเคยรู้สึกโดดเดี่ยวท่ามกลางผู้คนมากมาย เดินทางอย่างเคว้งคว้างในชีวิตเพื่อค้นหาใครบางคนที่มีจิตใจคล้ายกัน และความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน จนกระทั่งอีกฝ่ายได้เข้ามาเป็นแสงสว่างที่นำทางในชีวิต

[Pre-Chorus - LISA] และ [Chorus - Adam Levine & LISA] (Repetition)

เพลงจะกลับมาวนซ้ำในส่วน Pre-Chorus และ Chorus อีกครั้ง เพื่อย้ำความรู้สึกและความต้องการของฝ่ายหญิงและฝ่ายชายให้หนักแน่นขึ้น

[Bridge - Adam Levine & LISA]

(Bridge) We've chased the fleeting dreams, the glitter and the gold But true connection, pure and deep, is a story to unfold Every breath, every beat, every whispered word you say It adds up to forever, taking all my fears away

• "We've chased the fleeting dreams, the glitter and the gold":
  • "Chased the fleeting dreams": ไล่ตามความฝันที่เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว (fleeting = ชั่วครู่, ผ่านไปอย่างรวดเร็ว)
  • "The glitter and the gold": สิ่งที่ระยิบระยับและทองคำ (เปรียบเปรยถึงความหรูหรา วัตถุสิ่งของภายนอกที่ดูดีแต่ไม่ยั่งยืน)
• "But true connection, pure and deep, is a story to unfold":
  • "True connection": ความสัมพันธ์ที่แท้จริง
  • "Pure and deep": บริสุทธิ์และลึกซึ้ง
  • "Is a story to unfold": เป็นเรื่องราวที่กำลังจะเผยออกมา (เป็นการมองโลกในแง่ดีว่าความสัมพันธ์นี้จะพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ)
• "Every breath, every beat, every whispered word you say":
  • วลีที่เน้นย้ำถึงทุกรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นร่วมกันในความสัมพันธ์
• "It adds up to forever, taking all my fears away":
  • "Adds up to": รวมกันเป็น, ก่อให้เกิด
  • "Forever": ตลอดไป, ชั่วนิรันดร์
  • "Taking all my fears away": ขจัดความกลัวทั้งหมดของฉันไป

สรุป Bridge: ท่อน Bridge เป็นการสรุปแนวคิดของเพลงอย่างชัดเจนว่า ทั้งสองฝ่ายเคยไล่ตามความฝันที่ฉาบฉวยและสิ่งของภายนอก แต่ในที่สุดก็พบว่าความสัมพันธ์ที่แท้จริงและลึกซึ้งต่างหากคือสิ่งที่มีค่าที่สุด ทุกช่วงเวลาที่ใช้ร่วมกันมีความหมาย และสามารถนำไปสู่ความรักชั่วนิรันดร์ที่ช่วยขจัดความกลัวทุกอย่างออกไปได้

[Outro - Adam Levine & LISA]

(Outro) Priceless, yeah, you're priceless More than anything, you're priceless You're priceless...

• เป็นการย้ำคำว่า "Priceless" ซ้ำๆ เพื่อเน้นย้ำถึงคุณค่าที่ประเมินไม่ได้ของบุคคลอันเป็นที่รัก

---

ไวยากรณ์ง่ายๆ ที่ซ่อนอยู่ในเพลง "Priceless"

เพลงนี้เต็มไปด้วยโครงสร้างประโยคพื้นฐานที่เราสามารถนำไปฝึกใช้ได้อีกเช่นเคยครับ:

1. Past Simple Tense: ใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงแล้วในอดีต
   • ตัวอย่าง: "Then you walked into my life." (จาก Pre-Chorus)
   • การใช้งาน: เราใช้ Past Simple Tense เมื่อเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต ระบุเวลาที่ชัดเจนหรือไม่ชัดเจนก็ได้ แต่จบไปแล้ว
   • ฝึกแต่งประโยคเอง: "I visited my grandparents last weekend." (ฉันไปเยี่ยมปู่ย่าตายายเมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว)
2. Present Perfect Tense: ใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่เริ่มต้นในอดีตและยังคงต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน หรือมีผลถึงปัจจุบัน
   • ตัวอย่าง: "Thought I had it all..." (จาก Verse 1) ในที่นี้คือ Past Perfect เพื่อบอกว่าเคยคิดว่ามีทุกอย่างก่อนหน้าที่จะค้นพบบางสิ่ง
   • ตัวอย่างอีกอันที่พบได้ทั่วไป: "We've chased the fleeting dreams..." (จาก Bridge) "We have chased..."
   • การใช้งาน: ใช้เมื่อพูดถึงประสบการณ์ที่เคยมีมาถึงปัจจุบัน หรือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วมีผลกระทบต่อตอนนี้
   • ฝึกแต่งประโยคเอง: "I have never been to Japan." (ฉันไม่เคยไปญี่ปุ่นมาก่อนเลย)
3. Comparatives (การเปรียบเทียบขั้นกว่า):
   • ตัวอย่าง: "More than gold, more than stars." (จาก Chorus)
   • การใช้งาน: ใช้เปรียบเทียบสิ่งสองสิ่งว่ามีคุณสมบัติมากกว่ากัน
   • ฝึกแต่งประโยคเอง: "This book is more interesting than that one." (หนังสือเล่มนี้น่าสนใจกว่าเล่มนั้น)
4. Adjectives (คำคุณศัพท์) และ Adverbs (คำวิเศษณ์): เพลงนี้ใช้ Adjective และ Adverb เพื่อบรรยายความรู้สึกและสถานการณ์ได้อย่างมีมิติ
   • Adjectives: "brand new" (ใหม่เอี่ยม), "softest" (นุ่มนวลที่สุด), "crowded" (แออัด), "lonely" (โดดเดี่ยว), "guiding" (นำทาง), "pure" (บริสุทธิ์), "deep" (ลึกซึ้ง)
   • Adverbs: "suddenly" (ทันใดนั้น), "truly" (อย่างแท้จริง), "completely" (อย่างสมบูรณ์), "infinitely" (อย่างไม่สิ้นสุด)
   • ฝึกใช้งาน: ลองนำคำเหล่านี้ไปแต่งประโยคเพื่อบรรยายความรู้สึกหรือสิ่งรอบตัวดูนะครับ เช่น "The movie was truly amazing." (หนังเรื่องนี้อัศจรรย์อย่างแท้จริง)

ตัวอย่างการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน

นอกจากจะเข้าใจเพลงแล้ว ลองนำคำศัพท์และวลีเหล่านี้ไปปรับใช้ในสถานการณ์จริงกันดูนะครับ:

• เมื่อคุณค้นพบสิ่งที่มีคุณค่ามากๆ:
  • "This antique watch is priceless to me, it was my grandmother's." (นาฬิกาโบราณเรือนนี้ล้ำค่าสำหรับฉัน มันเป็นของยายฉัน)
  • "The time we spend together is priceless." (เวลาที่เราใช้ร่วมกันนั้นประเมินค่าไม่ได้)
• เมื่อคุณต้องการบอกว่าบางสิ่งสำคัญที่สุด:
  • "Health is what truly matters more than wealth." (สุขภาพคือสิ่งที่สำคัญอย่างแท้จริงมากกว่าความมั่งคั่ง)
• เมื่อคุณรู้สึกว่าเจอคนที่ใช่ หรือความสัมพันธ์ที่ดี:
  • "I feel like I've finally found my kindred spirit." (ฉันรู้สึกเหมือนในที่สุดก็เจอคนที่เข้าอกเข้าใจกัน)
  • "Our friendship is built to last." (มิตรภาพของเราถูกสร้างมาเพื่อคงอยู่ตลอดไป)
• เมื่อคุณอยากเล่าว่าชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น:
  • "After I met her, it was like a brand new day began." (หลังจากที่ฉันพบเธอ มันเหมือนกับวันใหม่ได้เริ่มต้นขึ้น)

สรุปส่งท้าย

เพลง "Priceless" ของ Maroon 5 และ LISA เป็นบทเพลงที่งดงามที่สอนให้เราตระหนักถึงคุณค่าที่แท้จริงในชีวิต ซึ่งไม่ใช่สิ่งของภายนอก แต่เป็นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง ความรัก และช่วงเวลาที่มีร่วมกัน การเรียนรู้ภาษาอังกฤษจากเพลงช่วยให้เราเข้าใจบริบทการใช้งานจริงของคำศัพท์ สำนวน และไวยากรณ์ได้ดียิ่งขึ้น แถมยังสนุกและน่าจดจำอีกด้วย!

หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณ "เจาะลึก" และ "วิเคราะห์" เพลง "Priceless" ได้อย่างลึกซึ้ง พร้อมนำความรู้ไปต่อยอดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของคุณนะครับ!

ถ้าชอบบทความนี้ อย่าลืม กดไลค์ และ แชร์ ไปให้เพื่อนๆ ที่กำลังฝึกภาษาอังกฤษ หรือแฟนเพลงของ Maroon 5 และ LISA ได้อ่านกันด้วยนะครับ! แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้าครับ